มวยไทยสากล ปัจจุบัน แบ่งเป็นกี่รุ่น เป็นอย่างไรบ้าง จริงๆถ้าหากว่าจะให้อธิบายทั้งหมดภายในรอบเดียวหรือภายในทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องมันก็ยังมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจะไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียว อย่างแรกที่จะต้องรู้คือรุ่นที่ถูกแบบของในปัจจุบันถ้าหากเอาแบบนั้นได้แบบคร่าวๆเท่านั้นก็จะมีอยู่ประมาณ 17 รุ่น แต่ทั้งนี้เพื่อให้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือไม่เคยแม้กระทั่งได้รู้จักเกี่ยวกับการแบ่งรุ่นตามน้ำหนัก ส่วนใหญ่นั้นก็จะเริ่มจากรุ่นที่เคยได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้วมาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1.ฟลายเวท
ฟลายเวทถือว่าเป็นรุ่นที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยมาก แต่ถ้าหากว่าจะนับตามลำดับนี่คือรุ่นแรก สำหรับการแบ่งประเภทจากน้ำหนักของนักมวยโดยรุ่นนี้จะถือว่าเป็นรุ่นที่เล็กที่สุดในโลก ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าจะแบ่งให้ชัดเจนคือน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 48.988 กิโลกรัม แต่น้ำหนักจะไม่เกิน 50.802 กิโลกรัม ซึ่งอันนี้รุ่นฟลายเวทเรียกว่าจะเป็นรุ่นยอดนิยมของนักมวยไทยเพราะส่วนใหญ่แล้วถ้าหากดูตามสรีระนักมวยไทยได้ว่ามีขนาดตัวที่เล็กแต่ทีนี้ก็มีหลายคนเลยทีเดียวที่สามารถจะเป็นแชมป์โลกจากการแบ่งรุ่นฟลายเวทได้เยอะพอสมควร
2.เฮฟวี่เวท
ถ้าหากว่าฟลายเวทถือเป็นรุ่นที่มีน้ำหนักน้อยที่สุด เฮฟวี่เวทก็ถือว่าเป็นรุ่นของน้ำหนักที่มีมากที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วนักมวยที่จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มรุ่นของ เฮฟวี่เวทได้นั้นจะต้องมีน้ำหนักมากกว่า 90.900 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งจริงๆแล้วการแบ่งรุ่นน้ำหนักแบบนี้บอกได้เลยว่ามีกันมาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 17 แต่ถ้าหากว่าจะให้พูดถึงลักษณะของนักมวยอาจจะไม่ได้นับที่เรื่องของน้ำหนักเพียงอย่างเดียวเพราะจะต้องดูรูปร่างและสัดส่วนให้เหมาะสมส่วนใหญ่แล้วรูปร่างจะต้องใหญ่โตและเป็นรูปร่างแบบที่สามารถดูแล้วสร้างความตกใจหรือตะลึงให้กับผู้ที่พบเห็นได้
3.มิดเดิลเวท
สำหรับรุ่นสุดท้ายที่เราจะมาทำความรู้จักกับการแบ่งรุ่นจากน้ำหนักของนักมวย สำหรับรุ่นนี้หลายคนก็คงจะต้องเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้วตามเวทีมวยใหญ่ๆซึ่งถ้าหากจะให้อธิบายแบบง่ายๆคือรุ่นที่มีน้ำหนักอยู่ในระดับกลางส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตั้งแต่ 69 กิโลกรัมไปจนถึง 72 กิโลกรัม
ทั้ง 3 รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่แบ่งกันได้แบบชัดเจนสำหรับมวยไทยสากลว่าถ้าหากว่าจะต้องมีการแบ่งจะแบ่งจากน้ำหนักเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นพี่ก็เป็นเหตุผลว่าในการที่จะขึ้นชกแต่ละครั้งตัวนักมวยเองก็จะต้องทำน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
มวยไทยสากล ปัจจุบัน แบ่งเป็นกี่รุ่น เป็นอย่างไรบ้าง จริงๆถ้าหากว่าจะให้อธิบายทั้งหมดภายในรอบเดียวหรือภายในทั้งหมดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องมันก็ยังมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจะไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียว อย่างแรกที่จะต้องรู้คือรุ่นที่ถูกแบบของในปัจจุบันถ้าหากเอาแบบนั้นได้แบบคร่าวๆเท่านั้นก็จะมีอยู่ประมาณ 17 รุ่น แต่ทั้งนี้เพื่อให้คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์หรือไม่เคยแม้กระทั่งได้รู้จักเกี่ยวกับการแบ่งรุ่นตามน้ำหนัก ส่วนใหญ่นั้นก็จะเริ่มจากรุ่นที่เคยได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้วมาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
1.ฟลายเวท
ฟลายเวทถือว่าเป็นรุ่นที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยมาก แต่ถ้าหากว่าจะนับตามลำดับนี่คือรุ่นแรก สำหรับการแบ่งประเภทจากน้ำหนักของนักมวยโดยรุ่นนี้จะถือว่าเป็นรุ่นที่เล็กที่สุดในโลก ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าจะแบ่งให้ชัดเจนคือน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 48.988 กิโลกรัม แต่น้ำหนักจะไม่เกิน 50.802 กิโลกรัม ซึ่งอันนี้รุ่นฟลายเวทเรียกว่าจะเป็นรุ่นยอดนิยมของนักมวยไทยเพราะส่วนใหญ่แล้วถ้าหากดูตามสรีระนักมวยไทยได้ว่ามีขนาดตัวที่เล็กแต่ทีนี้ก็มีหลายคนเลยทีเดียวที่สามารถจะเป็นแชมป์โลกจากการแบ่งรุ่นฟลายเวทได้เยอะพอสมควร
2.เฮฟวี่เวท
ถ้าหากว่าฟลายเวทถือเป็นรุ่นที่มีน้ำหนักน้อยที่สุด เฮฟวี่เวทก็ถือว่าเป็นรุ่นของน้ำหนักที่มีมากที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วนักมวยที่จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มรุ่นของ เฮฟวี่เวทได้นั้นจะต้องมีน้ำหนักมากกว่า 90.900 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งจริงๆแล้วการแบ่งรุ่นน้ำหนักแบบนี้บอกได้เลยว่ามีกันมาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 17 แต่ถ้าหากว่าจะให้พูดถึงลักษณะของนักมวยอาจจะไม่ได้นับที่เรื่องของน้ำหนักเพียงอย่างเดียวเพราะจะต้องดูรูปร่างและสัดส่วนให้เหมาะสมส่วนใหญ่แล้วรูปร่างจะต้องใหญ่โตและเป็นรูปร่างแบบที่สามารถดูแล้วสร้างความตกใจหรือตะลึงให้กับผู้ที่พบเห็นได้
3.มิดเดิลเวท
สำหรับรุ่นสุดท้ายที่เราจะมาทำความรู้จักกับการแบ่งรุ่นจากน้ำหนักของนักมวย สำหรับรุ่นนี้หลายคนก็คงจะต้องเคยได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้วตามเวทีมวยใหญ่ๆซึ่งถ้าหากจะให้อธิบายแบบง่ายๆคือรุ่นที่มีน้ำหนักอยู่ในระดับกลางส่วนใหญ่จะเริ่มต้นตั้งแต่ 69 กิโลกรัมไปจนถึง 72 กิโลกรัม
ทั้ง 3 รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่แบ่งกันได้แบบชัดเจนสำหรับมวยไทยสากลว่าถ้าหากว่าจะต้องมีการแบ่งจะแบ่งจากน้ำหนักเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นพี่ก็เป็นเหตุผลว่าในการที่จะขึ้นชกแต่ละครั้งตัวนักมวยเองก็จะต้องทำน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม